เมื่อผู้ผลิตอาหารตระหนักว่าผู้บริโภคได้เรียนรู้ว่าไขมันอิ่มตัวไม่ดีต่อสุขภาพ พวกเขาก็เริ่มหันมาแทนที่ไขมัน
อิ่มตัวด้วยกรดไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่ถูกเติมไฮโดรเจนเข้าไป ทำให้มันเหนียวพอที่จะนำมาใช้ในการทำขนมปัง ขนมอบ และมาร์การีน ไขมันทรานส์ยังช่วยให้อาหารสำเร็จรูปในบรรจุภัณฑ์มีอายุยาวนานขึ้น และเคยเข้าใจกันว่ามันช่วยทำให้อาหารปลอดภัยกับเรามากขึ้น แต่บนฉลากอาหารไม่มีการบังคับให้ต้องแสดงว่าเป็นไขมัน ผู้บริโภคได้เห็นเพียงในรายชื่อส่วนประกอบว่า น้ำมันไฮโดรจีเนต (hydrogenated oil) ฟังดูเหมือนไม่อันตรายเลยใช่ไหมครับ
ต่อมาไม่นานเราก็ได้เรียนรู้ว่า ไขมันทรานส์แม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้ระดับแอลดีแอล (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) สูงขึ้น ระดับเอชดีแอล (คอเลสเตอรอลชนิดดี) ลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ แต่เพราะกฎหมายเรื่องฉลากอาหารแบบเก่า ทำให้คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมขบเคี้ยว และอาหารฟาสต์ฟู้ดจำนวนมากซึ่งมีไขมันทรานส์ปริมาณสูงประกาศตัวอย่างถูกกฎหมายว่าเป็น"อาหารปราศจากไขมัน" หรือ "fat-free" ส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วไปซึ่งไม่ทราบในเรื่องเหล่านี้หลงซื้อหามารับประทาน
เราต้องผ่านยุคคนอ้วนล้นเมือง และการฟ้องร้องห้ำหั่นกันกว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ขึ้น ในที่สุดองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2006 บนฉลากโภชนาการ (Nutrition Facts label) จะต้องระบุปริมาณไขมันทราส์ไว้บริเวณใต้บรรทัดที่แสดงปริมาณไขมันอิ่มตัว
บางครั้งไขมันทรานส์ก็แฝงตัวอยู่ในที่ที่คุณไม่คาดคิด (เช่น ขนมแครกเกอร์ รูปสัตว์ยี่ห้อนาบิสโก้) ดังนั้น การอ่านฉลากอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ปริมาณไขมันอิ่มตัวรวมกับไขมันทรานส์ที่คุณรับประทานในแต่ละวันไม่ควรจะเกินกว่า 20 กรัม และหากคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ควรจำกัดให้ต่ำกว่า 15 กรัม
หมายเหตุ: เพื่อตอบสนองต่อความกังวลในเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคบริษัทหลายแห่งได้เริ่มผลิตมาร์การีนที่ไม่มีไขมันทรานส์ เช่น ฟลีชมานที่ทำจากน้ำมันมะกอก และฟลีชมานแบบไลท์ซึ่งไม่มีไขมันทรานส์อยู่เลย แต่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อสุขภาพแทน ถึงแม้ว่ากฎหมายเรื่องการระบุถึงไขมันทรานส์บนฉลากยังไม่ประกาศใช้ในเวลาที่เขียนอยู่นี้ แต่มาร์การีนและครีมทาขนมปังต่างๆ ที่ไม่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์ มักจะเขียนระบุไว้บนฉลากอย่างภาคภูมิใจ
ที่มา: วิตามินไบเบิล