อาการ ในเด็กจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร วันแรกที่มีไข้จะเป็นผื่นแดงราบขนาดเล็กขึ้นตามไรผมก่อน
แล้วจึงกระจายไปตามใบหน้า ลำตัว แผ่นหลัง แล้วต่อมาผื่นขยายใหญ่ และตรงกลางกลายเป็นตุ่มมีน้ำใสคล้ายหยดน้ำ และมีอาการคัน จากตุ่มใสกลายเป็นตุ่มหนองขันขาว หากไม่แกะเกา ตุ่มหนองจะตกสะเก็ดหายไปเองโดยไม่ทิ้งแผลเป็นเอาไว้
อาการในผู้ใหญ่จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกายคล้ายไข้หวัดใหญ่ นำมาก่อน และมีผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะกลายเป็นมีทั้งตุ่มน้ำใสและตุ่มน้ำใส (น้ำข้าวสีขาวขุ่น) เพราะผื่นไม่ได้ออกพร้อมกันทั่วทั้งร่างกาย ด้วยลักษณะนี้จึงเรียกว่า โรคอีสุกอีใส ผู้ป่วยอาจมีอาการคัน เมื่อเกาตุ่มเหล่านี้อาจติดเชื้อ เป็นหนอง หลังจากนั้น 2-4 วัน ก็จะตกสะเก็ด
ผื่นและตุ่มมักจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลามไปตามหน้าลำตัวและแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นเต็มที่ภายใน 4 วัน
บางคนมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ
บางคนอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นและตุ่มขึ้นเป็นบางจุด ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเริมได้
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ ติดต่อกันด้วยการสัมผัสถูกตุ่มสุกใส คลุกคลีกับผู้ป่วย การไอ จาม หรือหายใจรดกัน เอาละอองของตุ่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสผ่านเข้าทางเยื่อเมือก โรคนี้มีระยะฟักตัว 10-20 วัน โรคแทรกซ้อนพบได้น้อยในเด็ก แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ที่อ่อนแอ อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย เช่น ตุ่มกลายเป็นหนองจากเชื้อแบคทีเรีย พุพอง เป็นต้น บางคนอาจกลายเป็นปอดอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ มักพบว่าที่ร้ายแรง คือ สมองอักเสบ แต่พบได้น้อยมาก ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักเด็กที่เป็นมะเร็ง เม็ดเลือดขาว หรือผู้ป่วยเอดส์
โรคอีสุกอีใสในหญิงตั้งครรภ์ในระยะ 3-6 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ เช่น แขนพิการ สมองพิการ ตาเป็นต้อกระจก เป็นต้น นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นอีสุกอีใสในระยะก่อนคลอด 5 วัน หรือหลังคลอด 2 วันทารกที่เกิดมาอาจเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้ ทารกกลุ่มนี้ควรได้รับการฉีดสารอิมมูนโกลบูลิน ป้องกันทันที
เมื่ออาการของอีสุกอีใสสงบลงแล้วเชื้อจะหลบเข้าไปอยู่ที่ปมประสาทแฝงตัวอยู่อย่างสงบเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีภาวะภูมิต้านทานต่ำลง เช่น มีความเครียด ติดเชื้อเอชไอวี เป็นโรคมะเร็ง ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น เชื้อไวรัสตัวนี้ก็จะแบ่งตัวมากขึ้น จนเกิดเป็นงูสวัด
การรักษา ทำได้ด้วยตนเอง คือ ทานยาพาราเซตามอลแก้ปวด ลดไข้ (ไม่ควรใช้แอสไพริน เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อนที่มีอันตรายได้) ทาแป้งคาลาไมน์แก้อาการคัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเกาให้เป็นแผลรุนแรง ดูแลความสะอาดผิวหนังเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยการอาบน้ำและใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ผื่นจะหายไปเองภายใน 1-3 สัปดาห์ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ถ้ามีอาการปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก
หากตุ่มกลายเป็นหนองจากการแกะเกา เป็นแผลอักเสบหายยาก ต้องไปพบแพทย์ ซึ่งอาจได้ยาทาขี้ผึ้งเตตราชัยคลีน หรือเจนเชียนไวโอเลต ถ้าเป็นมากให้ทายยาปฏิชีวนะ เช่น คล็อกซาซิลลิน หรือ อีริโทรมัยซิน เป็นต้น
ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น หอบ ชัก ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว เป็นต้น ควรนำส่งโรงพยาบาลด่วน ซึ่งในรายที่เป็นรุนแรงแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสอีสุกอีใส และยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นจนกว่าจะพ้นระยะติดต่อคือ ตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้น จนกระทั่งระยะ 6 วัน หลังผื่นตุ่มขึ้น หลังจากนั้นจึงให้คลุกคลีกับคนอื่นได้
ในปัจจุบันมียาต้านไวรัส อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ผู้ใหญ่ให้ครั้งละ 800 มิลลิกรัม วันละ 5 ครั้ง (เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ให้ในขนาด 20 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อครั้งทุก 6 ชั่วโมง) นาน 5-7 วัน แพทย์จะให้หลังมีอาการภายใน 24 ชั่วโมง จะช่วยลดความรุนแรงและระยะของโรคลงได้ แต่จะพิจารณาใช้ในรายที่จำเป็น เช่น มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ หรือเป็นปอดอักเสบจากเชื้ออีสุกอีใส เป็นต้น
การป้องกันโดยทั่วไปคือ การฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็ก วัคซีนนี้มีข้อห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ ป่วยเป็นมะเร็ง เป็นต้น