อาการ เริ่มจากมีไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณ
ขากรรไกร จากนั้นต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตจนคลำได้ โดยค่อยๆ โตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร บางรายโตขึ้นจนถึงระดับตาพร้อมกับมีอาการเจ็บปวด เวลาเคี้ยวหรือกลืนอาหาร จะอ้าปากเคี้ยวไม่ถนัด ประมาณ 48 ชั่วโมง จะบวมเต็มที่ และอีก 2 วันต่อมาจะบวมทั้งสองข้าง บางรายอาจบวมข้างเดียวแล้วค่อยๆ ยุบลง อาการต่างๆ จะหายไปใน 1 สัปดาห์
เชื้อไวรัสคางทูมอาจทำให้มีโรคอื่น คือ
1. เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง
2. สมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ถึงเสียชีวิตได้ แต่พบได้น้อยราย
3. ในผู้ชายอาจมีอาการของมีอัณฑะบวม ในผู้หญิงบางคนมีอาการรังไข่อักเสบด้วย เนื่องจากเชื้อไวรัสเดินทางไปยังอวัยวะนั้น ในบางรายอาจทำให้เป็นหมันได้
4. โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้น้อยมากคือ ข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบและหูหนวก
แต่มีประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลย
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูม ระยะฟักตัวของโรค คือ 16-18 วัน ซึ่งติดต่อทางระบบหายใจ ไอ จามรดกัน และติดต่อทางน้ำลายเข้าสู่ปาก ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายซึ่งอยู่บริเวณกกหู ส่งผลให้คางบวมหรือเรียกว่า คางทูม ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในวัยเด็ก เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต
การรักษา ปัจจุบันพบโรคนี้น้อยลงไปมาก เพราะได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไว้แล้วตั้งแต่เด็ก การดูแลรักษาสามารถทำได้ด้วยตนเอง เพียงทานยาลดไข้แก้ปวดพาราเซตามอล และดูแลตนเองเหมือนไข้หวัดธรรมดา หากปวดมากให้ใช้น้ำอุ่นประคบ สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อน จะต้องตรวจมากขึ้น เช่น แยกเชื้อไวรัสจากคอ หรือจากปัสสาวะและน้ำไขสันหลัง และหรือตรวจหาระดับแอนติบอดี โดยวิธีทางภูมิคุ้มกัน
การป้องกัน ในเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จะได้รับการฉีดวัคซีนในรูปแบบวัคซีนรวม (MMR) คือ หัด หัดเยอรมัน คางทูม