หากคุณทราบว่า ระบบอาหารทำงานอย่างไร จะช่วยทำความกระจ่างให้คุณตั้งแต่ต้น ในประเด็นที่ผู้คนมัก
สับสนว่าสารอาหารทำงานที่ใดและเมื่อไร
ปากและหลอดอาหาร
การย่อยอาหารเริ่มต้นตั้งแต่ในปาก ด้วยการเคี้ยวบดอาหารและการผสมรวมกับน้ำลาย เอนไซม์ที่ชื่อว่าไทยาลินในน้ำลายได้เริ่มกระบวนการตัดเส้นสายยาวๆ ของแป้งให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็ก จากนั้นอาหารจึงถูกส่งผ่านไปยังส่วนหลังของช่องปากและต่อลงไปยังหลอดอาหาร อันเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการการบีบรูด (peristalsis) ซึ่งเป็นกระบวนการบีบรัดคล้ายการ "รีดนมวัว" สลับกับการคลายเป็นจังหวะของกล้ามเนื้อที่ขับเคลื่อนอาหารไปตลอดทางเดินอาหาร เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับและเพื่อกำหนดเวลาที่เหมาะสมของการปล่อยเอนไซม์แต่ละตัว เนื่องจากเอนไซม์แต่ละตัวไม่สามารถทำงานข้ามหน้าที่กันได้ ทางเดินอาหารของเราจึงมีลิ้นเปิด - ปิดตามบริเวณรอยต่อที่สำคัญ
ลิ้นเล็กๆ ที่ส่วนปลายของหลอดอาหารจะเปิดนานพอที่จะให้ชิ้นส่วนอาหารที่ผ่านการเคี้ยวมาแล้วเข้าสู่กระเพาะ ในบางครั้งโดยเฉพาะช่วงหลังอาหาร ลิ้นนี้จะคลายตัว ส่งผลให้คุณรอออกมา แต่ลิ้นที่คลายตัวนี้ยังอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับไปยังหลอดอาหาร ก่อให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease: GERD) ได้ ซึ่งอาการที่รู้จักกันดีคือการเรอเปรีี้ยวนั่นเอง (ดูเพิ่มเติมในข้อ 262)
กระเพาะอาหาร
พวกเราส่วนใหญ่รู้ดีว่ากระเพาะอาหารเป็นส่วนที่โป่งพองที่สุดในทางเดินอาหาร แต่ตำแหน่งของมันอยู่สูงกว่าที่คุณคาดคิด ตำแหน่งหลักของกระเพาะอยู่หลังกระดูกซี่โครงซี่ล่าง ไม่ใช่บริเวณเหนือสะดือ และไม่ได้เป็นส่วนที่อยู่ในพุงพลุ้ยๆ อย่างที่เราคิดกัน กระเพาะเป็นถุงที่มีความยืดหยุ่น ล้อมรอบด้วยกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ
อันที่จริงแล้วไม่มีสารอาหารใดๆ ถูกดูดซึมผ่านผนังกระเพาะอาหารนอกจากแอลกฮอล์
ของเหลว เช่น น้ำแกง จะผ่านกระเพาะไปค่อยข้างเร็ว ไขมันจะอยู่ในกระเพาะค่อนข้างนานกว่า อาหารปกติที่ประกอบไปด้วยแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จะถูกขับออกจากกระเพาะในเวลาาประมาณ 3-5 ชั่วโมง ต่อมในกระเพาะและเซลล์พิเศษบางชนิดจะสร้างเมือก เอนไซม์ กรดเกลือ และสารที่เป็นปัจจัยช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้ กระเพาะอาหารในภาวะปกติจะมีความเป็นกรด และน้ำย่อยจากกระเพาะซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวจะประกอบด้วยเอนไซม์หลากหลายชนิดดังต่อไปนี้
- เปปซิน (Pepsin) เป็นเอนไซม์หลักของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ย่อยเนื้อสัตว์และอาหารในกลุ่มโปรตีนอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานได้ในภาวะที่เป็นกรดเท่านั้น
- เรนนิน (Rennin) ช่วนให้นมที่ดื่มเข้าไปจับตัวเป็นก้อน
- กรดไฮโดรคลอริก (HCI) สร้างโดยเซลล์กระเพาะอาหาร มีหน้าที่ทำให้กระเพาะมีภาวะเป็นกรด
กระเพาะไม่ใช่ส่วนที่ขาดไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับกระบวนการย่อย เพราะขั้นตอนการย่อยอาหารส่วนใหญ่เกิดหลังจากกระเพาะไป
ลำไส้เล็ก
ลำไส้เล็กมีความยาว 22 ฟุต เป็นส่วนที่กระบวนการย่อยอาหารเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และเกิดการดูดซึมสารอาหารทุกชนิด ลำไส้เล็กมีสภาวะเป็นด่าง ซึ่งเกิดจากน้ำดีที่มีความเป็นด่างสูง น้ำย่อยจากตับอ่อน และของเหลวที่ผนังลำไส้เล็กหลั่งออกมา สภาวะแวดล้อมที่เป็นด่างนี้จำเป็นต่อขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการย่อยอาหารและการดูดซึม ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อจากกระเพาะอาหารจัดเป็นส่วนแรกของลำไส้เล็ก ต่อเข้าสู่ ลำไส้เล็กส่วนกลาง (jejunum ยาวประมาณ 10 ฟุต) ซึ่งต่อเข้ากับ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum ยาว 10-12 ฟุต) เมื่ออาหารกึ่งเหลวในลำไส้เล็กถูกบีบให้เคลื่อนตัวด้วยกระบวนการการบีบรูด เรามักจะพูดว่าได้ยินเสียง "ท้องร้อง" จริงๆ แล้วท้องหรือกระเพาะอาหารอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าบริเวณที่เกิดเสียงนั้น (ซึ่งเรียกว่า เลียงลำไส้บีบตัว - borborygmi)
ลำไส้ใหญ่
เศษอาหารที่ออกจากลำไส้เล็กส่วนปลายเข้าสู่กระพุ้งไส้ใหญ่ (cecum บริเวณที่ลำไส้เล็กต่อกับลำไส้ใหญ่) อยู่ในรูปค่อนข้างเหลว รอยต่อบริเวณนี้จะมีกล้ามเนื้อที่เป็นลิ้นเปิด - ปิดป้องกันไม่ให้เกิดการไหลย้อน สารอาหารถูกดูดซึมที่ลำไส้ใหญ่น้อยมาก ยกเว้นน้ำ ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่หลักเป็นอวัยวะที่เก็บและดึงน้ำออกจากกากที่เหลือจากการย่อย เศษอาหารที่เข้ามาในสภาวะของเหลวจะเริ่มกลายเป็นกึ่งเหลวเมื่อน้ำถูกดูดกลับ ใช้เวลา 12-14 ชั่วโมงกว่าเศษอาหารจะเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ใหญ่ทั้งหมด
ขณะที่ภายในกระเพาะอาหารปราศจาเชื้อจุลินทรีย์ใดๆ แต่ในลำไส้ใหญ่มีประชากรแบคทีเรียอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น เรียกว่าแบคทีเรียประจำิ่ถิ่น (flora) ส่วนใหญ่ของอุจจาระประกอบด้วยแบคทีเรีย เศษอาหารที่ไม่ย่อย โดยเฉพาะเซลลูโลส รวมทั้งสารที่ถูกกำจัดออกจากเลือดและขับออกทางผนังลำไส้
ตับ
ตับเป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นชิ้นจับต้องได้ที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย (อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายคือผิวหนัง - ผู้แปล) หนักประมาณ 4 ปอนด์ (เกือบ 2 กิโลกรัม) เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเคมีที่หาที่เปรียบไม่ได้ ตับสามารถปรับโครงสร้างทางเคมีของสารเกือบทุกชนิด เป็นอวัยวะขับสารพิษที่ทรงพลังสามารถย่อยสลายโมเลกุลของสารพิษหลากหลายประเภท และเปลี่ยนให้สารเหล่านั้นไม่มีอันตราย ตับยังเป็นคลังเก็บเลือดและอวัยวะที่เก็บสะสมวิตามิน เช่น เอและดี รวมไปถึงแป้งทที่ย่อยสลายแล้ว (ไกลโคเจน) ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ตับเป็นแหล่งผลิตเอนไซม์ คอเลสเตอรอล โปรตีน วิตามินเอ (จากแคโรทีน) และสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
หน้าที่หลักอีกอย่างหนึ่งของตับคือการสร้างน้ำดี น้ำดีประกอบด้วยเกลือ ที่ช่วยในการย่อยไขมัน โดยผ่านกระบวนการอีมัลซิฟิเคชัน (การทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน)
ถุงน้ำดี
เป็นอวัยวะรูปร่างคล้ายถุงสมชื่อ มีความยาวประมาณ 3 นิ้ว เป็นที่เก็บสะสมน้ำดีและดัดแปลงทางเคมี ทำให้น้ำดีเข้มข้นขึ้นสิบเท่า รสชาติหรือบางครั้งแม้แต่แค่ภาพของหารก็สามารถกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหลั่งน้ำดีออกมาได้ ส่วนประกอบของของเหลวในถุงน้ำดีอาจมีการตกผลึก เกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้
ตับอ่อน
ต่อมนี้มีความยาวประมาณ 6 นิ้ว ซุกตัวอยู่ในส่วนโค้งของลำไส้เล็กส่วนต้น กลุ่มเซลล์ส่วนหนึ่งของตับอ่อนหลั่งอินซูลิน ซึ่งช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย อินซูลินถูกหลั่งออกมาในเลือด ไม่ใช่ในทางเดินอาหาร อีกส่วนหนึ่งหนึ่งของตับอ่อนที่มีขนาดใหญ่กว่าทำหน้าที่ผลิตและหลั่งน้ำย่อยจากตับอ่อน ซึ่งจัดเป็นน้ำย่อยที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เช่น ไลเปส (lipase) ทำหน้าที่ย่อยไขมัน โปรตีแอส (protease) ทำหน้าที่ย่อยโปรตีน และแอมีเลส (amylase) ทำหน้าที่ย่อยแป้ง
อ้างอิง : วิตามิน ไบเบิล