นอกจากนี้ในการทดลองทางการแพทย์ยังพบว่า "น้ำนมแม่" สามารถสยบเชื้อแบคทีเรียให้อ่อนกำลังลง หรือที่
เรียกภาษาทางการแพทย์ว่าแอนติบอดี (Antibody) ได้อีกด้วย ซึ่งจากการสังเกตของแพทย์ ได้อธิบายไว้อย่างเด่นชัดว่า ถึงแม้ว่าในน้ำนมแม่นี้จะปลอดจากแอนติบอดีในตัวเอง แต่ก็สามารถกระตุ้นให้ร่างกายทารกผลิตแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในร่างกายทารกได้ โดยเฉพาะโรคท้องร่วงซึ่งทารกหลังคลอดมักจะเกิดอาการท้องร่วงกันมาก อาจเนื่องมาจากการกินนมหรืออาหารไม่เหมาะสม โดยหากให้ทารกกินนมแม่เข้าไปในขณะที่ทารกท้องเสีย อาการก็จะทุเลาลงและค่อยๆ จางหายไปในที่สุด มหัศจรรย์จริงๆ เลยใช่ไหมละครับ
ว่ากันว่าในน้ำนมแม่นั้นสามารถย่อยสลายได้ง่ายกว่าน้ำนมที่มาจากวัว ถึงแม้ว่าน้ำนมแม่จะมีโปรตีนน้อยกว่าก็ตามที แต่เมื่อทารกได้ดื่มนมจากแม่ลงไปแล้ว น้ำนมจะอ่อนตัวเมื่อถึงกระเพาะอาหารของลูกน้อย จากนั้นก็จะค่อยๆ ดูดซึมเข้าไปในระบบร่างกายของลูกน้อย ผิดกับนมที่มาจากวัว ที่มักจะดูดซึมได้ลำบาก แถมยังเหลือสะสมเป็นโปรตีนที่ไม่ย่อยสลายในตัวลูกน้อยอีกด้วย ซึ่งจะยุ่งยากตอนลูกน้อยขับถ่าย อธิบายได้ง่ายๆ ก็คือหากลูกน้อยกินมแม่ ก็มักจะมีระบบขับถ่ายที่เป็นปกติ ไม่ท้องร่วงหรือท้องผูก ตรงกันข้าม ถ้ากินนมวัวในทารกบางคนอาจท้องเสียท้องร่วง ไม่ก็ท้องผูก ขึ้นอยู่กับร่างกายของทารกว่าจะรับกับนมวัวในยี่ห้อที่คุณแม่ใช้หรือไม่นั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในทารกบางรายกว่าจะถูกกับนมวัวยี่ห้อต่างๆ ก็เล่นเอาท้องเสียกันไปหลายรอบเชียวครับ
กินนมแม่รับรองไม่แพ้ ในรายที่คุณแม่ให้นมสลับกันระหว่างตัวเองกับนมขวดนั้นเป็นธรรมดาที่ลูกของคุณจะเกิดอาการแพ้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะแพ้เจ้านมขวด อาจเป็นไปได้ที่กระเพาะของคุณลูกยังไม่รับน้ำนมที่มาจากสัตว์จึงก่อนให้เกิดปัญหาต่อระบบขับถ่ายของลูกน้อยของคุณ จะเห็นได้จากอาการท้องร่วง อาหารไม่ย่อย ซึ่งเดือดร้อนถึงคุณหมอให้ช่วยทำการบำบัดรักษา และข้อสังเกตที่คุณหมอให้ไว้ก็คือ หากจะให้ลูกของคุณกินนมขวกแล้วละก็ อาจจะต้องทดลองนมกว่า 10 ชนิด ถึงจะพบว่าชนิดใดที่ถูกใจ ถูกกระเพาะเหมาะสมกับกระเพาะเจ้าลูกน้อยของคุณ ขณะที่คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมของตัวเอง ไม่ต้องเดือดร้อนวิ่งวุ่นกระวนกระวายใจเช่นคุณแม่นมขวด แต่ในบางครั้งลูกน้อยที่กินนมแม่ก็อาจเจอปัญหาแพ้บ้างเช่นกันแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะส่วนมากจะเกิดจากอาหารบางชนิดที่คุณแม่กินเข้าไป ส่งผลใหลูกของคุณเกิดอาเจียน มีผื่นคันขึ้นตามตัวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคุณแม่ก็ไม่ควรกินอาหารชนิดนั้นอีกเลย จนกว่าจะถึงดวลาหยุดให้นมลูกครับ นอกจากกนี้ยังมีอาการอีกรูปแบบหนึ่งที่มาจากปฏิกิริยาของทารกที่มีต่อสารในน้ำนมแม่นั่นก็คืออาการตัวเหลืองซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด โดยทารกเกิดอาการตัวเหลืองนี้ ก็ให้คุณแม่หยุดให้นมสัก 2-3 วัน จากนั้นก็ค่อยกลับมาให้นมลูกใหม่อีกครั้ง ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ใช่อาการของโรคภูมิแพ้แต่อย่างใด และมักพบอาการดังกล่าวจากเด็กทารกไม่กี่รายเท่านั้น
การดูดนมแม่ช่วยให้ฟันและขากรรไกรแข็งแรง
การดูดนมของลูกน้อยก็เป็นการออกกำลังกายอีกรูปแบบหนึ่งของทารก ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยได้ขยับขากรรไกรไปมาโดยใช้เหงือกกด เพื่อให้น้ำนมไหลออกมา โดยเวลาที่ลูกน้อยดูดนมแม่นี้ จะต้องใช้พลังงานในการดูดมากกว่าการดูดนมจากขวด (ว่ากันว่าทารกต้องใช้พลังการดูดมากกว่าดูดนมขวดถึง 6 เท่าเลยทีเดียว) ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกน้อยได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่ อนุมานได้ว่าการดูดนมแม่เป็นการพัฒนาฟันและขากรรไกรของลูกน้อย ช่วยให้ได้ออกกำลังกล้ามเนื้อแบบไม่รู้ตัว และเมื่อกล้ามเนื้อได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ฟันและขากรรไกรของลูกน้อยมีรูปร่างตรง สวยงามแข็งแรง และดูดีเป็นรากฐาน จนถึงตอนโตเลยครับ ซึ่งแตกต่างจากลูกน้อยที่ดูดนมจากขวด จะเห็นด้วยว่าลูกน้อยที่กินนมขวดไม่ได้ออกกำลังมากมายแต่อย่างใด แค่เพียงดูดนิดเดียวน้ำนมก็ไหลพุ่งออกมาจากขวด จนบางครั้งลูกน้อยเกิดการสำลักอีกด้วย
นอกจากการสำลักที่อาจเกิดขึ้นแล้วนั้น เมื่อน้ำนมไหลออกมามากจนเกินไป ปฏิกิริยาป้องกันโดยอัตโนมัติของลูกน้อย ก็จะนำลิ้นของตนเองมาดุนปิดรูจุกนมเอาไว้เพื่อให้น้ำนมไหลออกมาน้อยลงและทำให้ลูกน้อยได้สบายขึ้น ส่วนลิ้นที่ควรจะกดขึ้นไปด้านบน ดันกลับต้องยื่นออกมา ทำให้เกิดรูปแบบการกลืน ที่ผิดปกติ ติดตัวไปจนตลอดชีวิต อีกทั้งยังจะทำให้เกิดการเม้มริมฝีปาก เกิดเป็นโรคเหงือกในบางรายอาจเปลี่ยนการหายใจ แทนที่จะหายใจทางจมูกก็จะมาหายใจทางปากแทน ทำให้เกิดผลเลยต่อบุคลิกในอนาคตได้ แต่ทั้งนี้อาการดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดกับเด็กที่กินนมขวดทุกคนครับ.
อ้างอิง : นิตยสาร P&B
เว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลความรู้และคำปรึกษาปัญหาสุขภาพต่างๆ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง









Founder :