พ่อแม่คู่หนึ่งซึ่งมีลูกชายวัย 5 ขวบ เพิ่งถูกคุณครูเชิญไปพบเพื่อแจ้งว่าลูกนั้นมีปัญหาสมาธิสั้นเพราะไม่ชอบ
นั่งทำงานอ่านเขียนตามที่คุณครูสั่ง และมักเล่นกับเพื่อนแรงเกินไปจนทำให้เพื่อนเจ็บ คุณครูขอร้องแถมสั่ง ...ให้พาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับยามากิน ไม่เช่นนั้นโรงเรียนอาจต้องเชิญลูกไปเรียนที่อื่น... ตายละสิ !!! ถ้าเป็นลูกเราบ้าง จะทำอย่างไร ดูท่าทางโรคนี้จะฮิตเสียด้วย
ความลับของสมอง
- อาการสมาธิสั้นเป็นเรื่องของพฤติกรรม และไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อโรคหรือกรรมพันธุ์ ต้นเหตุสำคัญมาจากสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้สมองของเด็กหลั่งสารเคมีที่ทำให้สมองไม่สมดุลและแสดงอาการนั้นออกมา หากเราสังเกตและค้นหาด้วยความเข้าใจ เราจะสามารถลดตัวกระตุ้นนั้นได้ พ่อแม่ควรทราบว่าการรักษาด้วยการกินยาจะมีผลข้างเคียงไปทำลายสมองของลูกในระยะยาว
- การใช้ยาเป็นการควบคุมให้สมองกระตือรือร้นน้อยลง แต่ไม่ได้ช่วยให้ลูกเรียนรู้เพราะยาจะไปปิดกั้นการคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยง ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้ยาเพราะมันทำให้ลูกนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องเรียนได้ โดยไม่คาดหวังว่าลูกจะเรียนรู้ใช่หรือไม่ หรือเราจะหาวิธีให้ลูกเรียนรู้ได้ในสไตล์ของเขากันดีกว่า
- การรักษาอาการสมาธิสั้นยังมีอีกหลายวิธี เช่น การให้คำปรึกษา การจัดกิจกรรมที่เหมาะกับสไตล์การเรียนรู้ของเด็กเพื่อฝึกให้รู้จักควบคุมตัวเอง เกิดความเชื่อมั่น และสนใจเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่าพ่อแม่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่า แต่เป็นการรักษาที่ปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง
- สไตล์การเรียนรู้แตกต่างกันได้ถึง 4 แบบตามความถนัดของสมองของเด็กแต่ละคน คือ เด็กที่ชอบจินตนาการจะชอบเรียนรู้หากได้ใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึกมากที่สุด เด็กที่ชอบคิดวิเคราะห์จะชอบข้อมูลเท็จจริงที่จับต้องได้ เด็กที่ชอบใช้สามัญสำนึก จะสนใจหากรู้ว่าจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร และเด็กที่ชอบการค้นพบด้วยตัวเอง จะชอบคิดต่อยอดด้วยคำถามว่า "ถ้า...?" ... แต่ในห้องเรียนส่วนมาก ครูมักสอนด้วยการให้ข้อมูล ซึ่งเหมาะกับเด็กเพียงหยิบมือเดียว
- อย่าเพิ่งตัดสินว่าลูกสมาธิสั้น เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กอนุบาลจะยังชอบเล่นซุกซนมากกว่านั่งเรียน เพียงแต่ว่าเด็กที่เป็นตัวของตัวเองมาก อาจปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนได้ยากกว่าเด็กที่คล้อยตามได้ง่าย และความซุกซนชอบเล่นของเด็กกลุ่มนี้ที่เด็กยังประมาณกำลังที่เหมาะสมไม่ได้ ก็มักทำให้เกิดการปะทะหรือสร้างความรำคาญได้
สถานการณ์สมมติ
วันนี้ลูกถูกครูทำโทษให้ไปนั่งคนเดียวหลังห้อง เพราะลูกมัวแต่สนใจนกที่บินไปบินมาข้างหน้าต่างจนไม่ฟังครูสอน คุณจึงคุยกับลูกว่า
- หนูรู้สึกอย่างไรที่ถูกทำโทษ (ทำนองว่าอยากชักจูงให้ลูกเห็นผลของการไม่ตั้งใจเรียนว่าไม่ดีอย่างไร)
- มันเกิดอะไรขึ้นหรือลูก ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ
ถ้าคุณเลือกข้อ ก.
เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะการชี้ชวนให้ลูกเห็นผลของการกระทำ เป็นการสอนการคิดอย่างมีเหตุผลให้แก่เด็กเล็กด้วยประสบการณ์ตรงที่มีผลต่อจิตใจของเขาเอง เพราะเด็กเล็กไม่เข้าใจหรอกหากเราสอนด้วยหลักการหรือตัวอย่างที่ไกลตัว แต่ใช่ว่าลูกเข้าใจแล้วจะควบคุมการกระทำของตัวเองได้ในครั้งแรก เราอาจต้องสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กแต่ละคนก็ใช้เวลาเรียนรู้ไม่เท่ากัน แต่ลองมาฟังเรื่องจริงของลูกชายคนนี้ที่ครูไม่เคยรู้ "ทำโทษให้นั่งหลังห้องดีจะตายไป เพราะจะได้หยิบกระติกน้ำมาดื่มได้ง่ายๆ ไม่ต้องขออนุญาตบ่อยๆ" เป็นอย่างนั้นไป แสดงว่าทำโทษวิธีนี้ไม่ได้ผลแน่... แต่ครูไม่รู้
ถ้าคุณเลือกข้อ ข.
เป็นสิ่งที่ควรทำยิ่งกว่า หากอยากรู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้ลูกมีพฤติกรรมที่ครูเรียกว่าสมาธิสั้น เด็กที่ชนหรือช่างฝัน หากนั่งใกล้หน้าต่างหรือประตูอาจทำให้เด็กถูกกระตุ้นให้สนใจการเคลื่อนไหวนอกห้องเรียนมากกว่าครู การที่ครูต้องดูแลเด็กหลายสิบคน อาจไม่ได้สังเกตหรือใจเย็นพอที่จะรับฟังว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ คือ การคุยกับลูกเพื่อทำความเข้าใจสไตล์การเรียนรู้ของลูกและค้นหาว่ามีอะไรบ้างหนอที่ชอบมากระตุ้นให้ลูกเบี่ยงเบนความสนใจไปจากครู
สัมผัสของหัวใจ
ระบบการเรียนที่เร่งรัดอย่างทุกวันนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เด็กไม่มีความสุขเสียตั้งแต่อนุบาล โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนที่พ่อแม่จ่ายเงินแพง และคาดหวังว่าจะทำให้ลูกตัวน้อยอ่านเขียนและสอบเข้า ป.1 โรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้ เมื่อโรงเรียนพยายามตอบสนองความคาดหวังของผู้ปกครองแบบนี้ หากเด็กคนใดไม่สามารถทนนั่งติดเก้าอี้อยู่ได้ ย่อมกลายเป็นว่าเด็กมีปัญหา มากกว่าครูจะค้นหาว่ามีวิธีการใดอีกที่จะเชีญชวนให้เด็กอยากรู้อยากเรียนมากกว่านี้ และมักโยนหน้าที่ในการแก้ปัญหานี้มาให้พ่อแม่ พาลูกไปกินยาซะ !!!
คุณพ่อคุณแม่คะ ไม่มีโรงเรียนใดเหมาะกับเด็กทุกคน หากลูกอยู่ในโรงเรียนที่มีสไตล์พอไปกันได้ หรือหากลูกเรียนในห้องเรียนอย่างไม่มีความสุขนัก หากรักลูก... ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเสริมเติมความสุขนอกห้องเรียนอย่างไม่มีความสุขนัก หากรักลูก... ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเสริมเติมความสุขนอกห้องเรียนให้ลูกได้ในช่วงเย็นหรือวันหยุดส่วนโรงเรียนนั้น หากเราเป็นฝ่ายเปิดใจเข้าไปหา เพื่อบอกว่าเราเข้าใจความหวังดีของครู แต่ลูกของเราอาจยังไม่พร้อมกับการเรียนที่เคร่งครัด เราจึงไม่คาดหวังเรื่องการเรียนของลูกมากนักขอให้ครูไม่่ต้องห่วงเรื่องนี้ ขอเพียงให้ลูกยังรู้สึกอยากมาโรงเรียนก็พอ... ความกดดันที่ครูรู้สึกจะลดลง และมากดกันกับลูกของเราน้อยลง ลูกก็จะมีความสุขขึ้น แล้วการปรับตัวอื่นๆ ก็จะตามมา
Tips : ลองดูรอบตัวเราสิคะ อาชีพทุกวันนี้ไม่ใช่มีแต่หมอ พยาบาล ครู ตำรวจ เหมือนสมัยก่อน แต่มีอาชีพที่ใช้ความสามารถได้หลายหลาย ทั้งสำหรับคนชอบใช้ความคิด คนชอบใช้กำลัง คนชอบใช้อารมณ์ฝันๆ ลองอ่านเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ที่มาเล่าสู่กันฟังว่าในวัยเด็กนั้นเฮี้ยวเพียงใด ช่างฝันเพียงใด ล้วนสร้างวีรกรรมในห้องเรียนมาแล้ว แต่ความเข้าใจและการสนับสนุนของพ่อแม่ทำให้เขาผ่านมาได้อย่างไร จะเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ได้ดีกว่า... นี่มันเหมือนลูกเราเลยนี่นา
อ้างอิง : นิตยสาร P&B
เว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลความรู้และคำปรึกษาปัญหาสุขภาพต่างๆ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง









Founder :