
ไม่มีใครอยากให้ลูกหลานเจ็บป่วย การสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ เรื่องอาหารการกินเกี่ยว
เนื่องไปกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยวัยเตาะแตะ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกการกินอย่างถูกต้องให้กับลูกทั้งชนิด ปริมาณ และรสชาติของอาหาร ดังนี้ค่ะ
ควรฝึกการกินให้ถูกต้องเมื่อไร
เจ้าตัวน้อยในวัย 1-3 ปีนี้แหละ เป็นวัยของการเจริญเติบโตพัฒนาการด้านต่างๆ จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ลูกวัยนี้เปลี่ยนจากการกินนมเป็นอาหารหลัก ดังนั้นลูกควรได้รับอาหารที่ปลอดภัย ย่อยง่าย เคี้ยวง่าย รสไม่จัด สีสันน่ากิน มีปริมาณพอเหมาะกับความต้องการและที่สำคัญปลูกฝังวินัยการกินที่ดีตั้งแต่วัยนี้ โตขึ้นไปก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักกิน... ให้ดีค่ะ
วัย 1 ปี
สอนให้ลูกน้อยได้เรียนรู้วิธีการเคี้ยวอาหารที่หยาบขึ้น เป็นการกระตุ้นให้กรามและฟันโตสมวัย เพราะถ้าลูกยังเคี้ยวไม่เป็น ลูกก็จะไม่อยากกินอะไรและอาจทำให้การเรียนรู้หยุดชะงักได้ รวมถึงการฝึกลูกน้อยกินอาหารเอง โดยคุณแม่เตรียมซ้อนและถ้วยใส่อาหารที่ไม่หกหรือแตกง่ายให้ลูก 1 ชุด ให้ลูกนั่งกินเป็นประจำ ในช่วงแรกอาจเลอะเทอะบ้าง ต่อไปลูกจะคุ้นเคยกับการกินอาหารเอง
วัย 1.5-2 ปี
ฝึกให้ลูกกินอาหารเป็นเวลา จัดเวลาอาหารแต่ละมื้อให้เหมาะสม โดยกำหนดช่วงเวลามื้ออาหารไว้ เช่น อาหารเช้าประมาณ 20-30 นาที อาหารเย็นประมาณ 30-40 นาที หากลูกเล่นอาหาร ขว้างปาช้อนหรือถ้วย อมข้าวหรือกินช้าจนเลยเวลาที่กำหนด ให้กับอาหาร ซึ่งคุณแม่ต้องใจแข็ง และไม่ควรให้อาหารอื่นกับลูกระหว่างมื้อ เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป ลูกจะกินอาหารได้มากขึ้น
วัย 2-3 ปี
จัดอาหารหลากหลายชนิดให้ลูก หลีกเลี่ยงการกินอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ เพื่อให้ลูกรู้จักอาหารมากขึ้นรวมทั้งควรชมเชยให้กำลังใจลูกเมื่อลูกกินอาหารได้หมด
ฝึกเรื่องรสชาติอาหาร
Do อาหารสำหรับลูกน้อยคุณแม่ควรปรุงให้รสชาติกลางๆ และมีรสธรรมชาติด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น รสชาติหวานหอมจากน้ำต้มผักหรือน้ำต้มกระดูก และไม่จำเป็นต้องทำอาหารสำหรับลูกโดยเฉพาะทุกมื้อ สามารถหมุนเวียนกินเหมือนกับคนในครอบครัว เช่น อาหารของพ่อแม่ แต่แบ่งให้ลูกด้วย โดยแยกตักมาให้ลูกต่างหาก แล้วจึงปรุงแต่งรสชาติอาหารของ พ่อแม่ทีหลัง
Don't ไม่ควรใส่ ซอสปรุงรส น้ำปลา น้ำตาล เครื่องปรุงรส ที่มีรสชาติและกลิ่นแรง เพราะอาหารปรุงแต่งมากจะไปขัดขวางพัฒนาการของประสาทรับรส การเติมรสให้อร่อยอย่างของผู้ใหญ่ ในบางครั้งจะพบว่าทำให้ลูกได้รับเกลือโซเดียมสูงเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ส่วนอาหารที่มีรสหวาน นอกจากทำให้เด็กติดรสหวานไม่ยอมกินอาหารรสธรรมดาแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ฟันผุ และไขมันในเลือดสูในอนาคต รวมถึงเด็กมักจดจำรสชาติอาหารได้ ตั้งแต่ครั้งแรก หากอาหารที่เพิ่งเคยกินนั้นมีรสเผ็ด ขม ลูกอาจเกิดความรู้สึกต่อต้านอาหารพวกนั้นตลอดไปค่ะ
ปริมาณอาหารที่ลูกน้อยวัย 1-3 ปี ควรได้รับในแต่ละวัน
- นม 2 แก้ว
- ไข่ 1 ฟอง ควรปรุงให้สุกเพราะจะทำให้ย่อยได้ง่าย
- เนื้อสัตว์ต่างๆ และถั่วเมล็ดแห้ง 3-4 ช้อนโต๊ะ โดยให้กินเนื้อสัตว์หลากหลาย หมุนเวียนกันไป
- ข้าวสวย 3-4 1/2 ทัพพี คุณแม่อาจให้ลูกกินข้าวไม่ขัดสี จะได้ประโยชน์มากกว่าข้าวที่ขัดสีค่ะ
- ผัก 1/2-1 ถ้วย อาจเป็นผักสดหรือทำให้สุก ผักให้วิตามินเกลือแร่และใยอาหารซึ่งใยอาหารจะช่วยในการขับถ่าย
- ผลไม้ 1/2-1 ถ้วย ผลไม้สดตามฤดูกาล เลือกผลไม้ที่ไม่หวาานจัด หรือน้ำผลไม้คั้น
- น้ำมันจากพืช เนย กะทิ 2-3 ช้อนชา ควรเลือกใช้น้ำมันจากพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง
การได้รับสารอาหารและสารอาหารที่ครบถ้วนและปริมาณเหมาะสมตามช่วงวัย ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกาย สมองและสติปัญญาของลูกให้เติบโตแข็งแรงสมวัยอย่างเต็มศักยภาพ
เคล็ดลับลูกกินเก่ง
หมั่นทำเมนูให้ดึงดูดใจ เช่น อาหารควรมีสีสันยั่วยวนตา แต่มากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ก๋วยเตี๋ยว สปาเกตตี หรือจะเป็นมะกะโรนีรูปร่างต่างๆ
สำหรับเมนูผักนั้น คุณแม่สามารถทำให้เป็นเมนูสุดโปรดให้ลูกได้ ลองทำซุปากผักที่มีรสหวาน เช่น ฟักทอง แครอต ฟักเขียว แตงกวา กรองเฉพาะน้ำใสๆ ลูกจะชอบ เพราะมีรสหวาน สีสันสดใส โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกินผักอยู่ ดัดแปลงเป็นซุปผักข้นๆ โดยมีส่วนผสมของเนื้อผักละเอียดปนอยู่บ้าง อาจเพิ่มนมสดหรือแป้งให้มีความข้นมากขึ้น คุณแม่อาจบอกลูกว่าคล้ายๆ กับสังขยาที่กินกับขนมปัง ลูกจะรู้สึกเหมือนว่าได้กินขนมอยู่ค่ะ ทำขนมกล้วยบวดชี หรือพายฟักทอง เป็นการฝึกให้ลูกรู้จักกินผลไม้หลากหลายชนิดค่ะ
กินให้หลากหลายได้สุขภาพดี
หากลูกวัยนี้สั่นหัวทุกทีที่ต้องกินอาหารใหม่ๆ ที่คุณแม่ได้สรรหามาให้เพราะติดกับอาหารเดิมๆ และไม่ชอบที่จะลองของใหม่เห็นทีคุณแม่คงต้องหาวิธีที่ทำให้เจ้าหนูยอมรับกับเมนูใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ลูกได้สารอาหารที่ครบถ้วน ดังนี้ค่ะ
เลือกกินแต่ของชอบ
เด็กๆ มักเลือกกินแต่ของที่ตัวเองชอบก่อน เช่น อาหารกรอบๆ และขนมหวาน เด็กที่ถูกปล่อยให้กินแต่ของที่ตัวเองชอบมักจะไม่ค่อยยอมกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เขี่ยผักทิ้ง
How to
ควรฝึกให้ลูกกินอาหารให้หลากหลายเมนูที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับอาหารที่เขาชอบด้วย คือไม่ใช่ให้ลูกกินแต่อาหารที่คคุณเลือกจนไม่ยอมยืดหยุ่นให้ลูกกินอาหารที่ลูกชอบบ้างหรือปล่อยปละละเลยและตามใจจนเกินไป ควรฝึกให้ลูกรู้จักเลือกอย่างสมดุล และฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีและย่อยง่าย
กินเพราะสะดวก
เด็กๆ มักชอบอาหารที่กินง่ายและสะดวก อาหารกึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่มักมีลักษณะเช่นนี้ คือ ฉีกถุงก็หยิบเข้าปากได้ทันที อายุประมาณ 3-5 ปี เด็กมักจะปฏิเสธไม่อยากกินอาหาร ไม่ชอบอาหารที่มีอยู่ อาจเป็นเพราะเด็กห่วงเล่น หรือได้กินอาหารอื่นๆ เช่น ขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวานก่อนถึงเวลาอาหาร
How to
เตรียมอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้ลูกกินได้ง่ายและสะดวก เช่น ผลไม้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แช่เย็นไว้ ลูกจะกินแทนขนมขบเคี้ยวได้เหมือนกัน
ใช้ช้อนส้อมไม่คล่อง
เด็กเล็กๆ ย่อมไม่คุ้นเคยกับการใช้ช้อนส้อมเขาจึงชอบกินอาหารสำเร็จรูปที่ใช้มือหยิบจับใส่ปากได้ง่ายๆ ตักทีละน้อย ลูกอาจไม่อยากกินอาหารที่เขาเห็นจำนวนมากในจานคุณลองตักคราวละน้อยๆ และตกแต่งให้ดูน่าสนใจ จะทำให้การกินอาหารมีความสุขขึ้น
How to
ควรสอนให้ลูกใช้ช้อนส้อมให้คล่อง โดยการทำให้การกินอาหารด้วยอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเรื่องสนุก เช่น ซื้อช้อนส้อมลายการ์ตูนเรื่องโปรดไม่ตามป้อนข้าวลูกจนลูกไม่สนใจจะป้อนข้าวด้วยตัวเอง
นำเสนออาหารใหม่ๆ และรสชาติใหม่ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
คุณอาจบอกลูกว่า รายการอาหารใหม่วันนี้ชื่อว่าอะไร ให้ลูกลองกินทีละน้อย ไม่จำเป็นต้องยัดเหยียด อธิบายให้ลูกฟังว่ารสชาติก็ยังคงคล้ายซุปที่ลูกเคยกิน เพียงแต่มีสีสันและรสบางรสเพิ่มขึ้นมา ชวนคุยเรื่องสนุกและชมลูกเมื่อสามารถกินอาหารใหม่ๆ ได้ทุกครั้ง
How to
คุณอาจจะเริ่มโดยเพิ่มส่วนผสมอื่นเข้าไปในรายการอาหารเก่า เช่น เพิ่มมันฝรั่งหรือมะเขือเทศเข้าไปในซุปที่ลูกชอบ
ให้ลูกมีส่วนร่วมกับอาหาร
โดยเริ่มจากการให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกรายการอาหารและให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร ให้ได้มีโอกาสเลือกอาหารที่เขาอยากกินตักมาใส่จานของตัวเขาเอง หรือเลือกตักอาหารจากสิ่งที่คุณแม่เตรียมไว้บนโต๊ะ โดยไม่ต้องพยายามบังคับควบคุมให้ลูกตักอาหารที่คุณต้องการให้ลูกกินเท่านั้น
How to
อาจจะช่วยคุณแม่หยิบเครื่องปรุง เหยาะเครื่องปรุงใส่ลงในชาม หรือช่วยล้างผัก เด็ดผัก เป็นต้น กานนำลูกมาช่วยทำกิจกรรมในห้องครัว จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากกินอาหารที่มีส่วนทำขึ้นมาเองด้วย
ดึงดูดความสนใจด้วยสีสัน
เด็กมักจะติดใจในสีสันอันสวยงามและรูปลักษณ์ที่น่าสนใจด้วย ดังนั้นเมื่ออยากให้ลูกกินอาหารแปลกใหม่ คุณแม่ก็ควรใส่ใจกับสีสันและรูปร่างของอาหาร เพื่อดึงดูดให้ลูกเกิดความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เช่น การนำแครอตมาเข้าคู่กับผักสีเขียวให้มีสีสันมากขึ้น ข้าวผัดสลับสี (สีจากธรรมชาติ) แซนวิชหน้าการ์ตูน จัดวางอาหารให้มีลักษณะแปลกตา หรือหาจานสวยๆ มาใส่ก็เป็นวิธีที่ดึงดูดความสนใจ ให้ลูกรู้สึกอยากชิมขึ้นมา
สอนลูกให้รู้จักประโยชน์ของอาหาร
สอนลูกว่าอาหารประเภทไหนที่ควรกิน ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่สามารถใช้นิทานเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ลูกฟังทางอ้อม หรือพูดจาชักจูงถึงประโยชน์ของอาหาร สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการกิน เช่น กินแล้วร่างกายแข็งแรง เป็นต้น
เว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลความรู้และคำปรึกษาปัญหาสุขภาพต่างๆ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง









Founder :