ผลิตภัณฑ์คุณภาพอาหารเสริม LifePak (ไลฟ์แพ็ก) เป็นการเสริมอาหารด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารไฟโต
นิวเทรียนท์ (สารสกัดจากพืช) ที่ครบถ้วนและหลากหลายนั้น เป็นการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ดีระยะยาว ด้วย 5 สารอาหารที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว อันได้แก่
- สารต้านอนุมูลอิสระที่ครบถ้วนและหลากหลาย ในปริมาณที่เพียงพอต่อการปกป้องร่างกาย
- สารไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากพืช)
- สารอาหารสำหรับกระดูกที่ครบถ้วน
- เกลือแร่ที่จำเป็นที่ครบถ้วน และร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิตามินบี ที่ครบถ้วนในปริมาณที่สมดุล เพียงพอ
8 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ
จากการเสริมอาหารด้วย 5 สารอาหารที่่จำเป็น คือ
- ช่วยป้องกันการขาดสารอาหาร จากการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่ามีเพียง 1 ใน 21,000 คนเท่านั้นที่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอตามคำแนะนำ โดยคนส่วนใหญ่มักขาดสารอาหารพวกสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น วิตามินเอ อี บี6) สารอาหารสำหรับกระดูก (เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม) เกลือแร่ที่จำเป็น (เช่น เหล็ก สังกะสี) การขาดสารอาหารโดยเฉพาะวิตามิน เกลือแร่นั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น เช่น
- ทำให้เกิดอาการหรือโรคจากการขาดสารอาหาร เช่น ตาบอดกลางคืน จากการขาดวิตามินเอ เลือดออกตามไรฟันเมื่อขาดวิตามินซี โลหิตจาง เมื่อขาดธาตุเหล็กหรือขาดโฟเลต เป็นต้น
- ส่งผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำงานอย่างขาดประสิทธิภาพ
- ระบบการปกป้องร่างกายขั้นพื้นฐานที่อ่อนแอ
ดังนั้น การเสริมอาหารด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารสกัดจากพืช ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนสมดุล ป้องกันการขาดสารอาหารและช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปกป้องและชะลอการเสื่อมของเซลล์ การเสื่อมของเซลล์ (Aging) เป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายที่เกิดขึ้นตามอายุ แต่ในปัจจุบันสภาวะแวดล้อมและการดำรงชีวิตที่เร่งรีบขาดการดูแลสุขภาพที่ดีส่งผลให้การเสื่อมของเซลล์เกิดเร็วขึ้น ที่เรียกว่าแก่ชราก่อนวัย ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับการเกิดโรคเรื้อรังได้แก่ โรคหัวใจ มะเร็ง ต้อกระจก โรคข้ออักเสบ ความจำเสื่อม เบาหวาน เป็นต้น การเสริมอาหารด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารสกัดจากพืชเป็นประจำช่วยปกป้องเซลล์ ดีเอ็นเอ (สารพันธุกรรม) และไมโตคอนเดรีย (แหล่งสร้างพลังงานของเซลล์) รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเครือข่ายต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อการกำจัดอนุมูลอิสระและฟื้นฟูเซลล์และดีเอ็นเอ ที่ถูกทำลายอีกด้วย และกรดอัลฟาไลโปอิคมีความสำคัญในการปกป้องเซลล์สมองและรบบประสาท เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษที่สามารถผ่านเยื่อบุเซลล์สมองได้ (Blood Brain Barrier)
- ส่งเสริมการทำงานของหัวใจและรบบไหลเวียนเลือด สารอาหารที่จำเป็นต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี แคโรทีนอยด์ และฟลาโวนอยด์ วิตามินบี 6 โฟเลต วิตามินบี 12 แมกนีเซียม และแคลเซียม โดยสารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ดูแลระดับความดันโลหิตของเืลือดให้เป็นปกติ รวมทั้งดูแลการทำงานของหัวใจด้วย กลไกสำคัญที่สารอาหารเหล่านี้ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจ ได้แก่
- ลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นจากอนุมูลอิสระที่มีต่อไขมันแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (อนุมูลอิสระทำให้ไขมันแอลดีแอลคอเลสเตอรอลแปลงสภาพเป็นคล้ายชีสเหนียวๆ เกาะัติดที่ผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดอุดตันและหลอดเลือดแข็งตัว)
- ลดการเกาะติดของเกล็ดเลือดบนผนังหลอดเลือด ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด
- ดูแลให้ระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) อยู่ในระดับปกติ (โฮโมซิสทีน เป็นกรดอะมิโนที่ได้จากการเผาผลาญของโปรตีน ซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียงให้เกิดการสะสมตัวของไขมันและการอักเสบที่ผนังหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด)
- ช่วยให้ระดับความดันเลือด และจังหวะการเต้นของหัวใจปกติ
- บำรุงและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง แคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกและอยู่ในรูปของแคลเซียมไฮดรอกซี่แอพพาไทท์ (calcium Hydroxyapatite) องค์การอาหารและยาของสหรัฐให้ข้อมูลว่า การได้รับอาหารที่มีแคลเซียมและการเสริม แคลเซียมแต่เนิ่นๆ จะช่วยชะลอการเกิดกระดูกพรุนได้ จากการสำรวจพบว่าคนไทยโดยเฉลี่ยได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียงวันละ 360 มิลลิกรัม ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้น การเสริมอาหารด้วยแคลเซียมจึงจำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและป้องกันการเกิดกระดูกพรุนแต่การเสริมแคลเซียมอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ เพราะในขบวนการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารสำคัญอื่นๆ ด้วย ได้แก่
- แมกนีเซียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกเช่นกัน ร่างกายควรได้รับ แคลเซียมควบคู่กับแมกนีเซียมในสัดส่วน 2:1 ช่วยดูแลการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
- วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี ป้องกันการสูญเสียกระดูก
- วิตามินเค เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกพรุน
- ซิลิคอน สังกะสี ทองแดง แมงกานีส ส่งเสริมขบวนการสร้างกระดูก ยับยั้งการสูญเสียกระดูก
- ดูแลการเผาผลาญกลูโคสและอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อการดูแลระดับน้ำตาลในเลือดได้แก่ โครเมียม เพราะโครเมียมจะทำงานร่วมกับฮอร์โมนอินซูลิน ช่วนให้อินซูลินทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับโครเมียมอย่างเพียงพออย่างน้อย 200 ไมโครกรัมต่อวัน เพื่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีสำหรับผู้ที่เริ่มมีภาวะระับน้ำตาลในเลือดสูง มักมีอาหารปัสสาวะบ่อย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียเกลือแร่ 2 ชนิดนี้มากกว่าปกติ ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระ (วิตามินอี ซี กรดอัลฟาไลโปอิค) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด ลดการอุดตันของหลอดเลือด
- ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจำเป็นต้องมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพื่อปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคและอนุมูลอิสระ แต่การดำรงชีวิตในปัจจุบันส่งผลต่อการกินอาหาร (รับประทานผักผลไม้น้อยหรือไม่รับประทาน) มีความเครียดสูงทำให้ฮอร์โมนความเครียดหลั่งตลอดเวลาส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ รวมทั้งความเสื่อมชราซึ่งมีผลต่อการดูดซึมสารอาหารลดลง ดังนั้นควรเสริมอาหารที่สำคัญเพื่อประสิทธิภาพในการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินเอ ซี อี และวิตามินบี 6 เป็นต้น
- ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาว การมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงในระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็นต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี การได้รับสารอาหารวิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ (สารอาหารจากพืชผักผลไม้) อย่างครบถ้วนสมดุลช่วยให้ระบบต่างๆ รวมทั้งอวัยวะภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและหากได้รับมากเพียงพอก็ยังช่วยปกป้องเซลล์และดีเอ็นเอไม่ให้ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอีกด้วย
- ส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ การดูแลผิวพรรณอย่างครบวงจรคือการปกป้องและการให้สารอาหารบำรุง ในปัจจุบันการบำรุงผิวพรรณแต่เพียงภายนอกร่างกายอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีการบำรุงจากภายใน สารอาหารที่มีความสำคัญต่อการบำรุงผิวพรรณได้แก่ วิตามินซี อี เอ บี6 บี12 ดี เกลือแร่ สังกะสี ทองแดง ซีลีเนียม และสารสกัดจากพืช : ไลโคพีน ลิวทีน กรดอัลฟาไลโปอิค ชาเขียวสกัด สารสกัดเมล็ดองุ่น ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องผิวพรรณจากการแก่ชราก่อนวัย การเกิดริ้วรอย ผิวหน้าหมองคล้ำ โดยพบว่าผู้ที่มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่วัดโดยเครื่องไบโอโฟโตนิคสแกนเนอร์สูง จะพบการเกิดริ้วรอยน้อยกว่าผู้ที่มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ
วิดีโอ ไลฟ์แพ็ก
หากท่านทานไลฟ์แพ็กเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ทางบริษัทการันตีว่าท่านจะมีสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น (ตัวการโรคเรื้อรัง) โดยวัดผลจากเครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ BioPhotonicScanner
Clinical Study ผลจากการศึกษาทางด้านวิทยาศาตร์ของเครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ BioPhotonicScanner
การศึกษาที่ 1
การศึกษาทางคลินิกเรื่องการใช้เครื่องมือไบโอโฟโตนิคสแกนเนอร์ของฟาร์มาเน็กซ์ เพื่อประเมินสถานะของระดับสารต้านอนุมูลอิสระ แคโรทีนอยด์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ในผิวหนัง เครื่องมือไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจวัดระดับ (สารต้านอนุมูลอิสระ) แคโรทีนอยด์ใต้ผิวหนัง แคโรทีนอยด์เป็นกลุ่มของสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในธรรมชาติ โดยเฉพาะในผักและผลไม้ที่มีสีแดง ส้ม เหลือง หลายการศึกษาพบว่า แคโรทีนอยด์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ส่งเสริมสุขภาพดวงตาและอื่นๆ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับของสารแคโรทีนอยด์และพฤติกรรมต่างๆ ได้แก่ การบริโภคผักและผลไม้ การสูบบุหรี่ และการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินเกลือแร่ โดยทำการทดลองในอาสาสมัครจำนวน 1,375 คน วิธีการทดสอบทำโดยการใช้แบบสอบถามและการตรวจวัดด้วยเครื่องสแกนเนอร์เพื่อตรวจวัดระดับของแคโรทีนอยด์ ผลการทดลองสามารถแสดงได้ดังกราฟที่ 1, 2 และ 3
ผลการศึกษา
ผลการทดลองสรุปได้ว่าเครื่องมือไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ สามารถตรวจหาระดับของแคโรทีนอยด์ใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเรื่องของ เพศ เชื้อชาติ อายุ ไม่มีผลต่อการตรวจวัดดังกล่าว นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าผู้ที่รับประทานผักและผลไม้มากกว่าหรือเท่ากับ 6 ส่วน/วัน จะมีระดับของสารแคโรทีนอยด์มากกว่ากลุ่มที่รับประทานเพียงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งกลุ่มที่รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินและเกลือแร่อย่างสม่ำเสมอ ดังแสดงในกราฟที่ 1 จะมีระดับสารแคโรทีนอยด์มากกว่าในกลุ่มที่ไม่รับประทานอย่างเห็นได้ชัด ดังแสดงในกราฟที่ 3 สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะมีระดับของแคโรทีนอยด์ในปริมาณที่ต่ำ ดังแสดงในกราฟที่ 2
การศึกษาที่ 2
ความสัมพันธ์ของสถานะการต้านอนุมูลอิสระปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่มีผลเสียต่อร่างกายกับระดับแคโรทีนอยด์ที่วัดโดยใช้หลักการราแมน สเปคโตรสโคปี ซึ่งการศึกษาทดลองกับอาสาสมัครเพศชายและเพศหญิงที่มีสุขภาพดี 302 คน โดยวัดระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังโดยใช้เครื่องไบโอโฟโตนิคสแกนเนอร์ มีการเก็บตัวอย่างเลือด และปัสสาวะ เพื่อวัดระดับสารต้านอนมูลอิสระในเลือด, ORAC และ ค่าที่แสดงความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น รวมทั้งควบคุมปัจจัยร่วมอื่นๆ ได้แก่ BMI อาหารและการดำรงชีวิต
ผลการศึกษา
- ระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังและระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดมีความสัมพันธ์แบบอย่างมีนัยสำคัญ (r=0.8, P<0.001)
- ระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังยังสัมพันธ์ตรงกับระดับวิตามิน ซี (r=0.33,p<0.001) และอี (aiphatocopherol ;r=0.30;p<0.001) และมีความแปรผันตรงกันข้ามค่าไอโซโปรสเตนในปัสสาวะ (r =0.23, p< 0.001)*
สรุป การวัดระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังด้วยเครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์มีความปลอดภัย สะดวก และเป็นทางเลือกที่ดีอีกวิธีหนึ่ง นอกเหนือจากวิธีตรวจระดับแคโรทีนอยด์ในเลือด โดยค่าที่ได้มีความสัมพันธ์แบบตรงกับระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดและระดับสารต้านอนุมูลอิสระอื่น (วิตามินซี, อี)
*ระดับไอโซโปรสเตนในปัสสาวะ เป็นผลที่เกิดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นต่อกล้ามเนื้อเรียบซึ่งค่าที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับภาวะความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เช่น เบาหวาน ควันบุหรี่ และการเสื่อม
การศึกษาที่ 3
เครื่องมือจากหลักการของราแมน สเปคโตรสโคปี เพื่อการวัดสถานะของแคโรทีนอยด์ในร่างกาย ซึ่งการศึกษาทดลองกับอาสาสมัครสุขภาพดี 104 คน (เพศชาย 64 คน เพศหญิง 40 คน) โดย วัดระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังโดยใช้เครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ และเก็บตัวอย่างเลือด เพื่อนำไปตรวจระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดด้วยเครื่อง HPLC
ผลการศึกษา
- ระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังที่วัดโดยไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับระดับแคโรทีนอยด์ในเลือด
- ค่าเฉลี่ยของระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดอยู่ที่ 1.44 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร (range :0.37-3.36) ค่าเฉลี่ยของ ค่าแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังอยู่ที่ 28,808 (range: 14,524-56,298)
สรุป เครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ ซึ่งใช้หลักการของ ราแมน สเปคโตรสโคปี สามารถประเมินหลักการของราแมน สเปคโตรสโคปี สามารถประเมินระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดด้วยค่าความเบี่ยงเบนที่ +/- 10% ความน่าเชื่อถือ 95% และความสัมพันธ์กันอย่างมากระหว่างค่าแคโรทีนอยด์ที่วัดได้ที่ผิวหนังกับที่วัดได้จากเลือดเครื่องไบโอโฟโนิค สแกนเนอร์ จึงเป็นเครื่องมือที่สะดวก รวดเร็วและง่ายในการประเมินสภาวะของแคโรทีนอยด์ในร่างมนุษย์